โรคไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร

โรคไวรัสตับอักเสบบี

โรคไวรัสตับอักเสบเป็นโรคที่คนไทยรู้จักแต่มักไม่ให้ความสำคัญ เพราะอาจยังไม่รู้ว่าเป็นโรคที่ร้ายแรง ปัจจุบัน โรคไวรัสตับอักเสบบี ถือเป็นปัญหาที่สาธารณสุขทั่วโลกให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะประเทศไทยที่เป็นหนึ่งในประเทศที่พบผู้ที่เป็นพาหะและเป็นโรคไวรัสตับอักเสบจำนวนมาก

โรคไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ถือเป็นโรคที่สร้างปัญหาให้กับอวัยวะสำคัญในร่างกายนั่นก็คือตับ และถือเป็นอีกปัญหาสำคัญในประเทศไทย ซึ่งเราสามารถพบผู้ป่วยจากโรคนี้ได้ประมาณ 1-3% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ โดยตับอักเสบบี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ทำให้เซลล์ตับเกิดการอักเสบ เซลล์ตับตาย และหากปล่อยไว้จนเป็นเรื้อรัง จะทำให้เกิดพังผืด เกิดโรคตับแข็ง และเกิดโรคมะเร็งตับตามมาได้

ประเภทของโรคไวรัสตับอักเสบบี ถูกแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้

  1. แบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการภายใน 1-4 เดือนหลังติดเชื้อ โดยจะมีไข้ ตัวเหลืองตาเหลือง ปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา รวมถึงอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เป็นผื่น ปวดข้อ แต่อาการตับอักเสบแบบเฉียบพลันจะดีขึ้นใน 1-4 สัปดาห์ และสามารถหายได้เองในช่วงประมาณ 6 เดือน
  2. แบบเรื้อรัง ผู้ป่วยในแบบเรื้อรังนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือกลุ่มที่เป็นพาหะ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีเชื้อไวรัสในร่างกายแต่ไม่แสดงอาการ ตรวจเลือดไปเจอความผิดปกติ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ ส่วนกลุ่มที่ 2 คือกลุ่มผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยกลุ่มนี้เมื่อตรวจเลือดแล้วจะพบค่าการทำงานของตับผิดปกติ

สาเหตุของโรคไวรัสตับอักเสบบี เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ดังนี้  

  1. การถ่ายทอดจากมารดาที่ติดเชื้อไปสู่ทารก
  2. ติดต่อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ได้ป้องกัน
  3. การใช้แปรงสีฟัน มีดโกน กรรไกรตัดเล็บร่วมกัน
  4. ติดจากการสัก เจาะหูหรือการฝังเข็ม โดยที่อุปกรณ์เหล่านั้นยังไม่ผ่านการฆ่าเชื้อหรือฆ่าเชื้อไม่ถูกต้อง การสัมผัสกับเลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่ง โดยผ่านเข้าทางบาดแผล

วิธีป้องกันตนเองจากโรค ไวรัสตับอักเสบ บี

  1. ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ
  2. ป้องกันทุกครั้งเมื่อทีเพศสัมพันธ์
  3. ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่นโดยเด็ดขาด
  4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ป่วย
  5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน
  6. ตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรตรวจเช็คค่าตับและตรวจคัดกรองมะเร็งตับ