กินยาเป็นกำ ๆ อาจทำให้ตับรับกรรม จนเสี่ยงตับพังในระยะยาว

หลายคนมีนิสัยหยิบยากินเองเป็นกำ ๆ เวลาไม่สบาย ปวดหัว ปวดเมื่อย หรือมีอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยเฉพาะยาที่หาซื้อง่ายตามร้านสะดวกซื้อหรือออนไลน์ แต่รู้ไหมว่า “ยาเกือบทุกชนิด” ต้องถูกส่งไปให้ตับทำงานในการขจัดและสลายสารเคมี เมื่อกินมากเกินไป กินมั่ว หรือกินหลายตัวพร้อมกัน ตับจะทำงานหนักจนเสี่ยงอักเสบและอาจนำไปสู่ภาวะร้ายแรงอย่าง ตับแข็ง ได้ในอนาคต

ทำไมการกินยามากเกินจำเป็นถึงอันตราย?

ตับเป็นอวัยวะหลักที่ทำหน้าที่กำจัดยา การกินยาเกินขนาดหรือกินซ้ำซ้อนหลายชนิด จะทำให้สารเมตาบอไลต์จากยาเกิดสะสม และทำลายเซลล์ตับอย่างต่อเนื่อง แม้บางครั้งอาจยังไม่แสดงอาการ แต่ความเสียหายจะค่อย ๆ สะสมจนตับทำงานลดลง และสามารถพัฒนาไปเป็นตับอักเสบ ตับเสื่อม หรือภาวะ ตับแข็ง ได้

สัญญาณบอกว่าตับเริ่มมีปัญหาจากการกินยาเยอะ

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่นเหมือนเดิม
  • แน่นท้อง ท้องอืด หรือรู้สึกไม่อยากอาหาร
  • คลื่นไส้ เวียนหัวบ่อย ๆ
  • ปวดหน่วงบริเวณชายโครงขวา
  • ผิวหมอง ตัวเหลือง ตาเหลือง (อาการขั้นรุนแรง)

พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้ตับพังเร็วขึ้น

  • กินยาแก้ปวดหลายยี่ห้อในเวลาไล่เลี่ยกัน
  • กินยาบำรุง ยาสมุนไพรที่ไม่ผ่านมาตรฐานเป็นประจำ
  • กินยาต่อเนื่องเองหลายวันโดยไม่พบแพทย์
  • ดื่มเหล้าร่วมกับการกินยา
  • ซื้อยาจากโซเชียลหรือออนไลน์ที่ไม่มีข้อมูลชัดเจน

วิธีกินยาให้ปลอดภัย และไม่ทำให้ตับทำงานหนัก

การกินยาอย่างถูกต้องสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการทำลายตับได้ เช่น:

  • อ่านฉลากยาและปริมาณแนะนำทุกครั้ง
  • ห้ามกินยาซ้ำซ้อน โดยเฉพาะกลุ่มยาแก้ปวด/ลดไข้
  • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเมื่อจำเป็นต้องกินยาหลายตัว
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างกินยา
  • หากต้องกินยาเป็นประจำ ควรตรวจเช็กค่าตับอย่างสม่ำเสมอ

ป้องกันความเสียหาย ก่อนลุกลามจนรักษายาก

ตับเป็นอวัยวะที่ฟื้นตัวได้ดี หากดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่หากปล่อยให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ความเสียหายอาจเพิ่มขึ้นจนเสี่ยงเกิดภาวะ ตับแข็ง ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังและรักษายาก

ดังนั้น การลดการกินยาเป็นกำ ๆ เลือกใช้ยาตามความจำเป็น และรับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร คือวิธีที่ช่วยป้องกันตับจากการถูกทำร้ายโดยไม่ตั้งใจ และช่วยให้สุขภาพแข็งแรงในระยะยาว