น้ำตาลและฟรุกโตสสูง จุดเริ่มต้นของปัญหาตับ
ในน้ำอัดลม 1 แก้วมีน้ำตาลจำนวนมากและมักมีฟรุกโตสผสมอยู่ เมื่อดื่มบ่อย ๆ ร่างกายจะได้รับน้ำตาลเกินความจำเป็นตับต้องเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินให้กลายเป็นไขมันและสะสมอยู่ในตับ เมื่อเวลาผ่านไปอาจกลายเป็นไขมันพอกตับ และค่อย ๆ พัฒนาไปเป็นโรคตับอื่น ๆ ตามมาได้
ดื่มแทนน้ำเปล่า ยิ่งดันตับเข้าใกล้ความเสี่ยง
คนที่ติดน้ำอัดลมมักมีพฤติกรรมดื่มทุกมื้ออาหาร หรือหยิบน้ำอัดลมแทนน้ำเปล่าเมื่อกระหาย ผลที่ตามมาคือ ตับต้องทำงาน “แทบตลอดเวลา” เพื่อจัดการทั้งน้ำตาล สารแต่งกลิ่น สี และสารกันเสีย ภาระสะสมแบบนี้ทำให้ตับอ่อนล้า นำไปสู่ความผิดปกติของการทำงานของตับ และเพิ่มโอกาสเกิดภาวะ ตับอักเสบ ได้ในระยะยาว
สัญญาณจากตับที่ควรหันมาฟัง
แม้ตับจะไม่ค่อยแสดงอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่ก็มีสัญญาณบางอย่างที่เราควรเริ่มสังเกต เช่น
- รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายกว่าปกติ ทั้งที่พักผ่อนเพียงพอ
- แน่นท้อง ท้องอืดบ่อย โดยเฉพาะหลังมื้อที่ดื่มน้ำอัดลม
- น้ำหนักตัวเพิ่มง่าย ไขมันหน้าท้องมากขึ้น
- ตรวจสุขภาพแล้วพบค่าตับเริ่มสูงหรือมีไขมันเกาะตับ
เริ่มลดวันนี้ ยังไม่สายที่จะช่วยตับฟื้นตัว
หากคุณเป็นคนที่ดื่มน้ำอัดลมแทบทุกวัน ลองเริ่มจากการ “ลดทีละนิด” เช่น จากวันละหลายแก้ว เหลือวันละ 1 แก้ว จากทุกวันเป็นสัปดาห์ละไม่กี่ครั้ง แล้วค่อย ๆ ปรับตัวไปสู่การดื่มน้ำเปล่าเป็นหลัก ควบคู่กับการลดอาหารมัน ของทอด ของหวาน และเพิ่มการออกกำลังกาย ตับจะค่อย ๆ ได้พักและมีโอกาสฟื้นตัวดีขึ้น
ดูแลตับวันนี้ เพื่อสุขภาพระยะยาว
การดื่มน้ำอัดลมไม่ได้ผิด แต่การดื่มมากเกินไปและดื่มต่อเนื่องต่างหากที่น่ากังวล การใส่ใจพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น เลือกดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น คุมปริมาณน้ำอัดลม และดูแลอาหารการกิน จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคตับ และทำให้ร่างกายโดยรวมแข็งแรงขึ้นด้วยในระยะยาว
