ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus: HBV) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับ ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและแอฟริกา ไวรัสนี้สามารถก่อให้เกิดโรคได้ทั้งแบบเฉียบพลัน (ระยะสั้น) และเรื้อรัง (ระยะยาว) หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่โรคร้ายแรง เช่น ตับแข็ง และ มะเร็งตับ
สาเหตุของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเกิดจากการสัมผัสกับเลือดหรือน้ำคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
- การใช้ของมีคมร่วมกัน เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ
- การรับเลือดหรือปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้ติดเชื้อ
- การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกขณะคลอด
อาการของโรค
ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบีในระยะเฉียบพลันมักแสดงอาการภายใน 1-6 เดือนหลังได้รับเชื้อ อาการที่พบ ได้แก่:
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา
- ตาเหลือง ตัวเหลือง (ดีซ่าน)
- ปัสสาวะมีสีเข้ม
หากเชื้อยังคงอยู่ในร่างกายเกิน 6 เดือน โรคอาจเข้าสู่ระยะเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการชัดเจน แต่ตับอาจถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโรคทำได้โดยการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือแอนติเจน HBsAg รวมถึงการตรวจการทำงานของตับ
การรักษา
- การรักษาระยะเฉียบพลัน: ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักหายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา เพียงพักผ่อนและดูแลสุขภาพ
- การรักษาระยะเรื้อรัง: ใช้ยาต้านไวรัสเพื่อลดการทำลายตับ เช่น Tenofovir และ Entecavir แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
การป้องกัน
- ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
- ใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาหรือของมีคมร่วมกับผู้อื่น
- ตรวจคัดกรองโรคสำหรับหญิงตั้งครรภ์
ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคที่ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน การดูแลตนเอง และปฏิบัติตัวอย่างปลอดภัย หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการป้องกันและรักษาไวรัสตับอักเสบบี สามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ได้โดยตรง