ไขมันพอกตับถือเป็นโรคเงียบที่พบได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในคนไทยยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานที่กินอาหารไม่เป็นเวลา ดื่มแอลกอฮอล์ หรือขาดการออกกำลังกาย แม้ในระยะแรกอาจไม่มีอาการ แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล ภาวะนี้อาจพัฒนาไปสู่ตับอักเสบ และตับแข็งได้ในที่สุด
ทำไมไขมันพอกตับถึงอันตราย
ตับเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ขจัดของเสีย สะสมพลังงาน และควบคุมสมดุลสารอาหารในร่างกาย เมื่อมีไขมันสะสมในตับมากเกินไป เซลล์ตับจะถูกทำลายจนเกิดการอักเสบ หากไม่รีบรักษาอาจทำให้ค่าตับสูง และกลายเป็นตับแข็งได้ในระยะยาว
สัญญาณเตือนเริ่มต้นของไขมันพอกตับ
แม้ในช่วงแรกจะไม่แสดงอาการชัดเจน แต่ร่างกายจะเริ่มส่งสัญญาณเตือนบางอย่างที่ไม่ควรมองข้าม เช่น
- แน่นหรือปวดท้องด้านขวา – เกิดจากตับโตขึ้นและกดกับผนังช่องท้อง
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย – เพราะตับไม่สามารถขับของเสียและเปลี่ยนน้ำตาลเป็นพลังงานได้เต็มที่
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ หรือท้องอืดบ่อย – เป็นผลจากการทำงานของระบบย่อยอาหารที่ช้าลง
- ผิวหมองคล้ำ ตาเหลือง – สะท้อนว่าตับเริ่มกรองสารพิษได้ไม่ดี
- ตรวจเลือดพบค่าตับสูง – เช่น SGOT, SGPT ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการอักเสบในเซลล์ตับ
สัญญาณว่าไขมันพอกตับเริ่มลุกลาม
หากไขมันพอกตับไม่ได้รับการดูแล ร่างกายจะเริ่มแสดงอาการที่รุนแรงขึ้น ดังนี้:
- อาการปวดท้องด้านขวาชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารมันหรือดื่มแอลกอฮอล์
- มีอาการบวม เช่น ขา เท้า หรือท้องบวม เนื่องจากการไหลเวียนเลือดผ่านตับผิดปกติ
- น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะตับเสื่อมลงจนย่อยอาหารได้ไม่เต็มที่
- อุจจาระซีด ปัสสาวะเข้ม แสดงว่าการขับของเสียจากตับเริ่มมีปัญหา
- ผิวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งเป็นสัญญาณของตับอักเสบและอาจใกล้เข้าสู่ภาวะตับแข็ง
ปัจจัยที่เร่งให้ไขมันพอกตับลุกลามเร็วขึ้น
- ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- รับประทานอาหารมันจัด หวานจัด หรือเค็มจัด
- ขาดการออกกำลังกาย
- พักผ่อนน้อยและเครียดสะสม
- ไม่ตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ
วิธีป้องกันไม่ให้ไขมันพอกตับลุกลาม
- งดแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด เพื่อให้ตับมีเวลาฟื้นฟูตัวเอง
- ควบคุมอาหาร ลดของทอด ของมัน น้ำตาล และอาหารแปรรูป
- เพิ่มผักผลไม้และธัญพืช เพื่อช่วยขับของเสียและลดไขมันในเลือด
- ออกกำลังกายวันละ 30 นาที เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน
- พักผ่อนให้เพียงพอ โดยเฉพาะช่วง 4–6 ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาที่ตับซ่อมแซมตัวเอง
- เสริมอาหารบำรุงตับ เช่น มิลค์ทิสเซิล ขมิ้นชัน กลูต้าไธโอน และวิตามินบีรวม เพื่อช่วยลดค่าตับสูงและฟื้นฟูเซลล์ตับ
เมื่อใดควรรีบพบแพทย์
หากคุณมีอาการแน่นชายโครงหรือปวดท้องด้านขวาเรื้อรัง ร่วมกับอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือตรวจพบค่าตับสูง ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจอัลตราซาวด์ตับและเจาะเลือดตรวจเพิ่มเติม เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าตับของคุณเริ่มเข้าสู่ระยะตับอักเสบหรือตับแข็งแล้ว
ไขมันพอกตับอาจไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ร่างกายมักส่งสัญญาณเตือนเล็ก ๆ ให้รู้ว่า “ตับกำลังขอความช่วยเหลือ” เช่นอาการปวดท้องด้านขวา เหนื่อยง่าย หรือค่าตับสูง หากเริ่มดูแลตั้งแต่วันนี้ด้วยการปรับพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกาย และเสริมอาหารบำรุงตับอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ตับฟื้นตัวได้ และป้องกันการลุกลามสู่ตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ในอนาคต
