ปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งตับยังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ผู้ป่วยมะเร็งตับระยะแรกที่ได้รับการผ่าตัด มีอัตราการรอดชีวิตเพียง 50% เท่านั้น ส่วนผู้ป่วยมะเร็งตับระยะท้ายที่สามารถใช้ชีวิตได้ถึง 5 ปี มีเพียง 5% หรือ 5 คน จาก 100 ซึ่งผู้เสียชีวิตทุกรายมี อาการตับอักเสบ
อาการตับอักเสบ
คือภาวะอักเสบที่เกิดบริเวณตับ ซึ่งเกิดจากเซลล์ตับตายหรือเรียกว่า “เซลล์ตับแตก” สิ่งที่สามารถวัดได้ว่าตับอักเสบหรือไม่ คือ การเจาะเลือดเพื่อดูค่าเอนไซม์ตับ 2 ชนิด คือ ค่าALT และ ค่าAST ซึ่งถ้าพบสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานจะถือว่า ตับอักเสบ ค่า ALT เป็นเอนไซม์ที่มีในตับมากที่สุด จะเกิดเมื่อเซลล์ตับมีการอักเสบและแตกเข้าสู่กระแสเลือด จึงใช้เป็นตัวชี้วัดโรคที่เกี่ยวข้องกับตับ เช่น ตับอักเสบและโรคตับแข็ง ส่วนค่า AST เป็นเอนไซม์ที่พบได้ทั่วไปภายในร่างกาย พบมากที่ตับและกล้ามเนื้อหัวใจ จึงสามารถใช้เป็นตัวชี้วัดโรคที่เกี่ยวข้องกับตับได้ด้วยเช่นกัน
อาการตับอักเสบ อาจไม่ปรากฏอาการอย่างชัดเจน แต่ผู้ป่วยอาจไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคตับอักเสบ แต่หากป่วยจนอาการกาเริบ อาจสังเกตพบอาการได้ ดังต่อไปนี้ ปวดเมื่อยไม่มีสาเหตุ,ปัสสาวะสีเข้ม, อุจจาระสีซีด, ตัวเหลืองตาเหลือง, เบื่ออาหารน้าหนักลด ใครที่มีอาการดังกล่าว ควรพบแพทย์และแจ้งอาการเหล่านี้ เพื่อวินิจฉัยโรคตับและประเมินความเสี่ยงในการหาสาเหตุของโรค ก่อนที่ภัยร้ายจากตับอักเสบจะลุกลามไปจนตับแข็ง และกลายเป็นมะเร็งตับจนเสียชีวิตลงในที่สุด ซึ่งปัจจัยการเกิดตับอักเสบนั้น เกิดจาก 3 สาเหตุหลักๆ คือ
1.ไวรัสตับอักเสบ
2.ตับอักเสบจากการดื่มแอลกอฮอล์
3.พฤติกรรมการใช้ชีวิต ทั้งอาหารการกิน ยาและสารพิษ รวมทั้งระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย