ไวรัสตับอักเสบ มีกี่ประเภท และแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร

ไวรัสตับอักเสบ คือกลุ่มของเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กรองสารพิษ สร้างน้ำดี และควบคุมสมดุลสารเคมีในร่างกาย หากตับเกิดการอักเสบเรื้อรัง จะนำไปสู่ตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้ในที่สุด ปัจจุบันมีการจำแนกไวรัสตับอักเสบหลัก ๆ ออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ A, B, C, D และ E ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะ วิธีติดต่อ ความรุนแรง และแนวทางป้องกันที่แตกต่างกัน

1. ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A; HAV)

ไวรัสตับอักเสบเอ ติดต่อผ่านทางอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น อาหารที่ไม่สุก หรือผ่านการปนเปื้อนจากอุจจาระของผู้ติดเชื้อ โรคนี้มักพบในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดี และสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายในชุมชน โรงเรียน หรือศูนย์เด็กเล็ก

ลักษณะของโรค: มักเกิดแบบเฉียบพลัน มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปวดชายโครงขวา ตัวเหลืองตาเหลือง แต่ส่วนใหญ่หายได้เองโดยไม่กลายเป็นโรคเรื้อรัง

การป้องกัน: สามารถฉีดวัคซีนป้องกันได้ และควรรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน เช่น กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร และดื่มน้ำสะอาดเสมอ

2. ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B; HBV)

ไวรัสชนิดนี้ติดต่อผ่านทางเลือดและสารคัดหลั่ง เช่น การใช้เข็มร่วมกัน การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในขณะคลอด

ลักษณะของโรค: ในบางรายร่างกายสามารถกำจัดเชื้อได้เอง แต่ส่วนหนึ่งจะกลายเป็น “ตับอักเสบเรื้อรัง” ซึ่งหากปล่อยไว้นานอาจพัฒนาเป็น “ตับแข็ง” หรือ “มะเร็งตับ” ได้

การป้องกัน: ปัจจุบันมีวัคซีน HBV ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิด และเป็นวัคซีนพื้นฐานที่ควรได้รับทุกคน

3. ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C; HCV)

ไวรัสตับอักเสบซี ติดต่อทางเลือดเป็นหลัก เช่น การใช้เข็มร่วมกัน การสักหรือเจาะร่างกายในสถานที่ที่ไม่สะอาด หรือรับเลือดที่ไม่ได้ผ่านการตรวจเชื้ออย่างเข้มงวด

ลักษณะของโรค: ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่มีอาการชัดเจนในระยะต้น แต่ไวรัสจะค่อย ๆ ทำลายตับอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับได้

การรักษา: ปัจจุบันมีการพัฒนายาต้านไวรัสแบบรับประทาน (DAAs) ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้กว่า 95% ภายในเวลา 8–12 สัปดาห์

การป้องกัน: ยังไม่มีวัคซีนสำหรับไวรัสชนิดนี้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดและใช้ของมีคมส่วนตัวแยกจากผู้อื่น

4. ไวรัสตับอักเสบดี (Hepatitis D; HDV)

ไวรัสชนิดนี้มีความพิเศษตรงที่ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ต้องอาศัยไวรัสตับอักเสบบีเป็นตัวช่วยในการแพร่พันธุ์ ดังนั้นผู้ที่จะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบดีได้ ต้องมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่ในร่างกายก่อน

ลักษณะของโรค: การติดเชื้อร่วมกัน (HBV + HDV) จะทำให้โรครุนแรงกว่าปกติ มีโอกาสตับวายหรือตับแข็งเร็วขึ้น

การป้องกัน: แม้จะไม่มีวัคซีนสำหรับไวรัสชนิด D โดยตรง แต่สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน HBV เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสบี ซึ่งจะช่วยลดโอกาสติดเชื้อไวรัสดีทางอ้อม

5. ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E; HEV)

ไวรัสตับอักเสบอีมีการติดต่อคล้ายกับไวรัสตับอักเสบเอ คือผ่านอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ พบมากในประเทศกำลังพัฒนา และในพื้นที่ที่มีระบบสุขาภิบาลไม่ดี

ลักษณะของโรค: มักเป็นการติดเชื้อเฉียบพลันและหายได้เอง แต่ในหญิงตั้งครรภ์โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้าย โรคนี้อาจรุนแรงถึงขั้นตับวายและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

การป้องกัน: ยังไม่มีวัคซีนที่ใช้กันทั่วไป การรักษาสุขอนามัยและหลีกเลี่ยงอาหาร/น้ำไม่สะอาดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

เปรียบเทียบ ไวรัสตับอักเสบ แต่ละชนิด

ชนิด การติดต่อหลัก ลักษณะโรค มีวัคซีนหรือไม่ ความเสี่ยงเรื้อรัง
A อาหาร/น้ำปนเปื้อน เฉียบพลัน หายเองได้ มี ไม่มี
B เลือด สารคัดหลั่ง แม่สู่ลูก เฉียบพลันหรือเรื้อรัง มี สูง
C เลือด เข็มร่วม สัก/เจาะ มักเรื้อรัง ไม่มี สูง
D ร่วมกับเชื้อ HBV รุนแรงกว่าปกติ ไม่มี (ป้องกันทางอ้อมได้จาก HBV) สูง
E อาหาร/น้ำปนเปื้อน เฉียบพลัน หายเองได้ ไม่มีแพร่หลาย ต่ำ ยกเว้นหญิงตั้งครรภ์

มีไวรัสตับอักเสบชนิดอื่นอีกหรือไม่?

นอกจาก 5 ชนิดหลักนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบไวรัสที่เกี่ยวข้องกับตับอักเสบอื่น ๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบจี (Hepatitis G) แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าเป็นสาเหตุของโรคตับอักเสบโดยตรงในคนทั่วไป จึงยังไม่จัดเป็นกลุ่มหลักอย่าง A–E

ไวรัสตับอักเสบแบ่งได้เป็น 5 ประเภทหลัก คือ A, B, C, D และ E ซึ่งต่างกันในเรื่องของการติดต่อ ความรุนแรง และแนวทางการป้องกัน การฉีดวัคซีน (โดยเฉพาะ HAV และ HBV) การรักษาสุขอนามัย และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การใช้เข็มร่วมกันหรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน คือกุญแจสำคัญในการลดการติดเชื้อและปกป้องสุขภาพตับในระยะยาว