ในประเทศไทย ไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี เป็นสาเหตุสาคัญของโรคตับอักเสบเรื้อรังมากที่สุด เป็นต้นตอของโรคร้ายทั้ง ตับแข็ง และ โรคมะเร็งตับ เชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี จะหลบซ่อนภายในร่างกายเพื่อฟักตัว และหากมีการแพร่ระบาดของเชื้อจะมีอาการของโรคตับอักเสบเฉียบพลัน
ไวรัสตับอักเสบ บี
และ ไวรัสตับอักเสบ ซี ซึ่งจะมีอาการปรากฎแค่เพียงอ่อนล้าและเหนื่อยง่ายจึงมักเข้าใจผิดว่าร่างกายคงไม่สบาย ทาให้หลายคนคิดว่าเป็นไข้ อ่อนเพลียธรรมดาเท่านั้น ไวรัสที่เข้ามาในร่างกายจะติดอยู่กับเซลล์ตับแต่เชื้อไวรัสอาจจะยังไม่ได้ทาความเสียหายหรือลดประสิทธิภาพการทางานของตับให้ลดลงในทันที เซลล์ภูมิคุ้มกันจะทาหน้าที่ตรวจจับและทาลายเชื้อไวรัส แต่ด้วยเชื้อไวรัสมันติดอยู่กับ
เซลล์ตับ มันจึงกาจัดเซลล์ตับไปด้วย ส่งผลให้เกิดการอักเสบขที่เซลล์ตับและเกิดอาการตับอักเสบเฉียบพลันจากเชื้อไวรัสได้ หากประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันสูงมากก็จะสามารถกาจัดไวรัสตัวต้นเหตุได้ หากภูมิคุ้มกันไม่สูงถึงขั้นนั้นร่างกายก็ไม่สามารถกาจัดเชื้อไวรัสให้หมดไป จึงจาเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อไวรัส ระยะของ โรคไวรัสตับอักเสบ อาจไม่สามารถกาหนดได้ชัดเจนขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อไวรัส ปริมาณและภูมิคุ้มกันของร่างกาย พอกล่าวโดยสังเขปได้ดังนี้ ไวรัสตับอักเสบบี 1-3 เดือนแรกหลังจากได้รับเชื้อในบางรายสามารถหายเป็นปกติจากภูมิต้านทาน
ส่วนรายที่ไม่สามารถหายเองได้ ส่วนใหญ่พบว่าไม่มีอาการแสดง แต่สามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ 1-3 เดือนแรก เรียกว่าระยะเฉียบพลัน ไม่ค่อยพบอาการที่รุนแรงมากนัก แต่หากการติดเชื้อดาเนินต่อไปเป็นเวลา 6 เดือนขึ้นไป จะเรียกว่าระยะเรื้อรัง โดยระยะเรื้อรังอาจพบภาวะแทรกซ้อน เช่น ตับ แข็งและมะเร็งตับ อาการก็จะแตกต่างกันออกไป ความรุนแรงขึ้นอยู่กับระดับการอักเสบของตับ ไวรัสตับอักเสบซี ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ ซี ถึงแม้ว่าเป็นระยะเรื้อรัง ก็อาจยังไม่แสดงอาการจนกว่าตับจะถูกทาลายอย่างรุนแรงแล้วอาการจึงจะปรากฏ
อาการที่ใช้เป็นข้อบ่งชี้ว่าเรามีความเสี่ยงเป็น โรคไวรัสตับอักเสบบีและซี ได้แก่ มีไข้ไม่สบาย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดช่องท้อง ท้องอืด ตาและตัวเหลืองซึ่งโดยส่วนใหญ่อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นๆ หายๆ ถ้าเข้าข่ายอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อการรักษาที่ทันถ้วงที เพราะ ไวรัสตับอักเสบ ชื่อของมันก็บ่งบอกความรุนแรงในตัวเองอยู่แล้ว นั่นคือการทาให้ตับอักเสบ ระดับความเสียหายของเซลล์ตับขึ้นอยู่กับระดับการอักเสบในเซลล์ตับ ซึ่งการอักเสบในตับสามารถดาเนินจนเกิดเป็นโรคร้ายแรงในตับได้ เช่น ตับวาย ตับแข็ง ตับอักเสบ และมะเร็งตับในที่สุด
อย่าปล่อยให้ความเงียบ ไม่แสดงอาการของโรคร้ายแรงนี้ ทาให้เรานิ่งนอนใจ ไม่ตระหนักถึงความรุนแรงและผลร้ายปลายทาง ป้องกันด้วยการตรวจเช็คสุขภาพวันนี้ ดีกว่าต้องรักษาเยียวยาในวันหน้า ทางที่ดีที่สุดคือ ตรวจเช็ค รักษา ป้องกัน
ป้องกันด้วยการดูแลตัวเองไม่ให้ติดเชื้อ ตรวจเลือดเป็นประจาทุกปี หากพบเจอก็ต้องรีบรักษาโดยเร็วเพื่อชะลอการ เกิดภาวะแทรกซ้อน หรือไม่ทาให้เกิดการกระตุ้นการอักเสบของตับเพื่อป้องกันการลุกลามของโรคที่ร้ายแรงต่อเซลล์ตับจาก ไวรัสตับอักเสบบี และซี จนลุกลามเป็น ตับแข็งและ มะเร็งตับ