ใครที่กังวลใจว่าค่าตับสูงเกินเกณฑ์ ซึ่งหมายถึงตับที่กำลังอักเสบอยู่ หากยังไม่ยอม ลดค่าตับ พยายามดูแลสุขภาพตับให้ดี ปล่อยให้ค่าตับสูงขึ้นเรื่อย ๆ มีการอักเสบสะสมเรื้อรัง สุดท้ายก็จะเป็นบ่อเกิดของโรคตับแข็ง หรือมะเร็งตับที่จะตามมาภายหลังได้
ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จัก “ค่าตับ” กันก่อนว่าสำคัญอย่างไร.. และเมื่อเรารู้ค่าตับของเราแล้ว จะดูแลให้ค่าตับไม่สูงเกินปกติได้ด้วยวิธีไหน ?
อยากรู้เรื่องไหน..คลิกเจอได้เลย !
1. ค่าตับ คืออะไร
2. สาเหตุของค่าตับสูง..ทำไมเราต้องลดค่าตับ
3. จะรู้ได้อย่างไร ว่าเรามีค่าตับสูง ?
4. วิธีลดค่าตับ ด้วยตัวเอง
5. วิธีลดค่าตับ แบบพึ่งตัวช่วย
สรุป
ค่าตับ คืออะไร
ค่าตับ หรือเอนไซม์ของตับ คือ ค่าที่บ่งบอกได้ว่าตับเรากำลังมีปัญหาอยู่หรือไม่ ซึ่งโดยปกติค่าตับทั่วไปจะไม่เกิด 40 หากเกินนี้ ควร ลดค่าตับ เพราะการที่ค่าสูงเกินเกณฑ์นั่นหมายถึงตับเรากำลังอักเสบแล้ว แน่นอนว่าปล่อยไว้ต่อไปโรคร้ายแรงก็อาจจะมาเยือนทีหลังได้
โดยหากใครเคยไปตรวจสุขภาพ หรือเคยตรวจผลเลือดแล้ว ลองสังเกตค่า AST (หรือ SGOT ในบางโรงพยาบาล) และ ALT (หรือ SGPT ในบางโรงพยาบาล) ค่านี้คือค่าตับที่เป็นสัญญาณเตือนได้ว่า ถึงว่าที่ต้องจะดูแลบำรุงฟื้นฟูตับอย่างจริงจังแล้ว
สาเหตุของค่าตับสูง..ทำไมเราต้อง ลดค่าตับสูง
โดยค่าตับเราที่พุ่งขึ้นสูงอาจมาได้จาก
- โรคไวรัสตับอักเสบ
- โรคพันธุกรรมตั้งแต่กำเนิด
- การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- รับยาเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก และต่อเนื่อง
- ภาวะไขมันพอกตับ
- เกิดเนื้องอกในตับ
การ ลดค่าตับ ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ จะเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกัน และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคร้ายแรงอย่างตับแข็ง และมะเร็งตับได้ แม้เบื้องต้นการที่ตับอักเสบจะดูไม่ส่งผลร้ายแรงอะไรออกมาให้เราเห็น แต่ก่อนที่ลมพายุจะพัดโหมกระหน่ำ อากาศก็มักจะสงบเงียบอยู่เสมอ ภัยร้ายเองก็ไม่ต่างกัน หากยังชะล่าใจปล่อยให้อาการอักเสบก่อตัวสะสมอยู่เช่นนี้ ก็เตรียมนับวันรอเจอมรสุมซัดเข้ามาได้เลย
จะรู้ได้อย่างไร ว่าเรามีค่าตับสูง ?
การตรวจว่าเรามีค่าตับสูง หรือมีอาการตับอักเสบแล้วหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้หลายวิธีทั้งแบบเห็นค่าได้อย่างชัดเจน และสังเกตอาการเบื้องต้น ซึ่งเราสามารถรู้ได้ว่าตับกำลังเกิดการอักเสบอยู่ โดยวิธีการเหล่านี้
การตรวจวินิจฉัยค่าตับ ด้วยวิธีทางการแพทย์อย่างชัดเจน
วิธีการนี้เราจะสามารถรู้ค่าตับได้อย่างชัดเจน รวมถึงค่าอื่น ๆ ประกอบกันเพื่อเช็คสุขภาพโดยรวมของตัวเองได้อีกด้วย ซึ่งการวินิจฉัยนี้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่ง โดยแพทย์อาจจะตรวจสอบในแบบต่าง ๆ เช่น
– การตรวจเลือด
สามารถทราบค่า AST / ALT หรือค่าเอนไซม์ตับ ออกมาเป็นตัวเลขได้อย่างชัดเจน ซึ่งหากแพทย์พบว่าค่านี้สูง แสดงออกถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นในตับ อาจจะมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาที่มาของการที่ตับอักเสบ เช่น ตรวจสารต้านภูมิคุ้มกัน ดูว่ามีไวรัสตับอักเสบอยู่ในร่างกายหรือไม่ เป็นต้น
– การตรวจอัลตราซาวด์
เป็นการตรวจสอบผ่านคลื่นเสียงออกมาเป็นภาพอวัยวะภายในช่องท้อง ทำให้สามารถเห็นลักษณะและขนาดของตับ โดยจะรู้ได้เช่นกันว่า ตับมีความเสียหาย มีเนื้องอก หรือระดับของเหลวภายในช่อง มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับตับเราหรือไม่
การสังเกตอาการเบื้องต้นที่ตับส่งสัญญาณผิดปกติด้วยตัวเอง
✓ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
✓ หลับไม่สนิทบ้าง หลับยากบ้าง
✓ อาหารไม่ย่อย ท้องอืดบ่อย
✓ ปวดจุกแน่นที่ชายโครงขวา
✓ ความอยากอาหารลดลง
✓ ไม่ค่อยมีสมาธิ ตัดสินใจได้ช้าลง
หากเข้าเกณฑ์เพียง 1 ข้อก็ควรพิจารณาหาตัวช่วย หรือปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตใหม่เพื่อลดค่าตับลง ให้ตับได้มีสุขภาพดียิ่งขึ้น ก่อนที่จะสายเกินแก้ไข เพราะอาการเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากตับทำงานได้ผิดปกติ นอกจากจะเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่เรียกหาโรคร้ายแล้ว ยังเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตประจำวันที่คอยมากวนใจเราอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
เริ่มลดค่าตับตั้งแต่วันนี้..สุขภาพตับดี สร้างได้ << คลิกเลย >>
วิธีลดค่าตับ ด้วยตัวเอง
(1) หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
สำหรับผู้ที่ติดสุรา จะส่งผลต่อตับโดยตรงอยู่แล้ว โดยแอลกอฮอล์เมื่อเข้าสู่ร่างกายเราจะถูกเปลี่ยนแปลงที่ตับกลายเป็นสารพิษที่สามารถทำร้ายเซลล์ตับเราได้ หากหลีกเลี่ยงไม่ดื่มได้เป็นดีที่สุด ทว่าหากเลี่ยงได้ยากก็ควรมีการหาอาหารเสริมมาบำรุงเพื่อชะลอความเสื่อมโทรมของสุขภาพตับ จากพฤติกรรมที่ทำร้ายตับโดยตรง
(2) ออกกำลังกาย
สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเยอะ หรือไขมันสูงกว่าเกณฑ์ งานวิจัยได้แนะนำว่าควรลดน้ำหนักได้ 1 ใน 10 ส่วนจากน้ำหนักตัวปกติ จะดีต่อสุขภาพร่างกาย และสุขภาพตับ ทั้งยังมีส่วนช่วยในการลดไขมันที่เกาะอยู่บนตับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากลดน้ำหนักลงเร็วเกินไปจะส่งผลเสียแทน วิธีนี้อาจจะยากสำหรับนักออกกำลังกายมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นหันมาใส่ใจสุขภาพ เบื้องต้นอย่างน้อยออกกำลังกายให้ 60 นาทีต่อสัปดาห์ ก็ช่วยลดระดับไขมัน (โดยหากอยากได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แนะนำให้ออกกำลังกายให้ได้ครบ 150 นาทีต่อสัปดาห์)
(3) ลดการทานอาหารที่มีไขมันสูง
เริ่มที่ในส่วนของเนื้อสัตว์เน้นไปที่เนื้อปลา หรือเนื้อไก่ แทนพวกเนื้อสีแดง (อย่างเนื้อหมู หรือเนื้อวัว) เพื่อลดปริมาณไขมันอิ่มตัวที่จะได้รับ และแป้งก็ควรเลือกเป็นข้าวแป้งไม่ขัดสี และนอกจากนี้ควรมีผักประกอบในทุกมื้ออาหาร สำหรับน้ำมันที่ใช้ในการประกอบอาหารควรเป็นจำพวก น้ำมันรำข้าว หรือน้ำมันมะกอก
ที่สำคัญงดพวกขนมหวาน ของมัน ของทอด รวมถึงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณสูง เมื่อไม่มีพฤติกรรมการทานอาหารที่ทำร้ายตับให้เกิดอาการอักเสบ ค่าตับสูงก็จะลดลงมาได้
(4) รักษาความสะอาดสุขอนามัย
หมั่นล้างมือให้สะอาดก่อน และหลังทานข้าว โดยไม่ใช้ช้อน ส้อม มีดโกน เข็มฉีดยา รวมถึงแก้วน้ำร่วมกับผู้อื่น เพื่อลดความเสี่ยงในการติด หรือรับไวรัสตับอักเสบเข้ามาสู่ร่างกายเรา
วิธีลดค่าตับ แบบพึ่งตัวช่วย
หากลองลดค่าตับแบบพึ่งพาตัวเองแล้วรู้วึกว่าทำได้ยาก การใช้ตัวช่วยอย่างอาหารเสริมบำรุงตับ มาร่วมด้วยอีกแรงยิ่งสามารถเห็นผลได้ไวยิ่งขึ้น
โดยหลักการที่ใช้พิจารณาตัวช่วยที่ว่าควรจะ ทาน-ได้-ปลอดภัย-มีคุณภาพ เพื่อให้ค่าใช้จ่ายที่เราต้องเสียไปได้รับการตอบแทนที่คุ้มค่า
“พรูนัส มูเม่” ตัวช่วยจากธรรมชาติ มีวิจัยทางการแพทย์รองรับ บำรุงตับได้เห็นผลจริง ! >> ลองเลย <<
ทาน ต่อเนื่องได้โดยไม่เกิดผลข้างเคียงที่อันตรายต่อร่างกาย
ได้ รับงานวิจัยทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล รองรับว่าเห็นผลได้จริง
ปลอดภัย ด้วยมาตรฐานการผลิตเดียวกับโรงงานยา สามารถเชื่อถือได้
มีคุณภาพ จากวัตถุดิบที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งมีกลไกช่วยลดอาการอักเสบของตับ
สรุป
หากเรารู้ตัวว่าตับกำลังอักเสบ หรือมีค่าตับสูง การลดค่าตับลงมาให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ จะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคตับแข็ง หรือมะเร็งพอกตับที่สามารถตามมาอยู่กับเราได้ในอนาคต
ซึ่งโรคตับเองนับว่าเป็นโรคที่น่ากลัว มักจะชอบซ่อนตัวเป็นระเบิดเวลาอยู่ในร่างกาย ไม่ค่อยยอมแสดงอาการอะไรออกมามากนัก ใครที่รู้ค่าตับของตัวเองแล้วในตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีเลยทีเดียว ที่จะได้เตรียมตัวหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพตับให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ โดยนอกจากการหมั่นดูแลเรื่องอาหารการกินที่มีประโยชน์ รวมกับการออกกำลังกายในทุกวันแล้ว.. ตัวช่วยดี ๆ อย่าง Hepheka อาหารเสริมบำรุงตับจากฝรั่งเศส ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ โดยหากใครสนใจสามารถขอคำปรึกษาปัญหาสุขภาพกันได้ฟรี ๆ ที่ Fanpage และ Line@ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญและเภสัชกรพร้อมให้คำแนะนำในทุกเวลา
