ไขมันพอกตับ โรคน่ากลัวที่หลายคนนิ่งนอนใจ ปล่อยทิ้งไว้ไม่ยอมรักษา เพราะเห็นว่ายังไม่มีอาการใด ๆ ที่ดูอันตรายร้ายแรง แต่ความน่ากลัวของมัน คุณจะสัมผัสได้อีกทีก็เมื่อมันแปรสภาพกลายเป็นตับแข็ง หรือมะเร็งตับไปเสียแล้ว แล้วเคยได้ยินไหมว่า.. ชาเขียวช่วยลดระดับไขมันพอกตับได้ ?
ในปี 2015 The World Journal of Gastroenterology ได้มีการเผยแพร่ออกมาว่า ชาเขียว มีส่วนช่วยในการลดระดับไขมันในเลือดตลอดจนถึงส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย งานวิจัยยังกล่าวด้วยว่า ผู้ที่ดื่มชาเขียวปริมาณ 5 – 10 แก้วต่อวัน สามารถช่วยลดไขมันพอกตับได้อีกด้วย รวมถึงชาเขียวยังมีสารแคทีชินในปริมาณสูงซึ่งเป็นอาวุธที่จะป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระที่จะมาทำร้ายเซลล์ตับของเราได้ แต่ช้าก่อน !! หากคุณลองแวะเข้าร้านสะดวกซื้อบ้านเราแล้วมองหาชาเขียวสักขวด.. เลือกให้ดี เพราะท่ามกลางชาเขียวสารพัดรสชาติที่ถูกแช่อยู่ในตู้ แทนที่จะช่วยเราจากไขมันที่เกาะตับได้ จะกลายเป็นเพิ่มระดับไขมันพอกตับให้แทน
ชาเขียวรสชาติไหน..เสี่ยง ไขมันพอกตับ มากที่สุด
โดยทั่วไปน้ำตาลถือเป็นหนึ่งในส่วนประกอบหลักที่ถูกผสมอยู่ในขวดชาเขียวที่เราพบเห็นกันได้ทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อ ซึ่ง “ตับ” ของเราเองจะเปลี่ยนน้ำตาลที่รับเข้ามาให้อยู่ในรูปไกลโคเจน และไตรกลีเซอร์ไรด์ เพื่อให้ร่างกายได้ดึงไปเป็นพลังงานที่ใช้ในแต่ละวัน แต่หากเรารับน้ำตาลมามากเกินกว่าที่ร่างกายต้องกายใช้ในแต่ละวัน..ตับก็จะนำไปสร้างเป็นไขมันและกักเก็บไว้ เมื่อสะสมนานวันเข้าไปเรื่อย ๆ ก็เป็นสาเหตุให้เกิดไขมันพอกตับได้นั่นเอง
กระทรวงสาธารณสุขเอง ก็ได้ออกมาแนะนำว่าคนไทยไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัมต่อวันเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี รวมถึงยังห่างไกล ไขมันพอกตับ ได้อีกด้วย ทว่าชาเขียวที่หาซื้อได้ทั่วไปนั้นจะมีรสชาติไหนที่ควรงด หรือหลีกเลี่ยงบ้าง.. เราไปส่องปริมาณน้ำตาลที่อยู่แฝงอยู่ในแต่ละรสชาติกันเลย. . .
อันดับ 5 # ชาเขียวรสต้นตำรับ
ขนาด 500 มล. มีน้ำตาล 20.2 กรัม (น้ำตาล 5 ช้อนชาโดยประมาณ)
อันดับ 4 # ชาเขียวกลิ่นมะลิ
ขนาด 500 มล. มีน้ำตาล 25-27 กรัม (น้ำตาล 6 ช้อนชาโดยประมาณ)
อันดับ 3 # ชาเขียวรสข้าวญี่ปุ่น และชาเขียวผสมเก๊กฮวย
ขนาด 500 มล. มีน้ำตาล 33.5 กรัม (น้ำตาล 8.3 ช้อนชาโดยประมาณ)
อันดับ 2 # ชาดำรสเลมอนไอซ์ที
ขนาด 500 มล. มีน้ำตาล 52.5 กรัม (น้ำตาล 13.1 ช้อนชาโดยประมาณ)
อันดับ 1 # ชาเขียวรสน้ำผึ้งผสมมะนาว
ขนาด 500 มล. มีน้ำตาล 54.5 กรัม (น้ำตาล 13.6 ช้อนชาโดยประมาณ)
**ไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 24 กรัม หรือ 6 ช้อนชาต่อวัน
***อ้างอิงข้อมูลจาก : (1) ศูนย์วิจัยและประเมินความเสี่ยงด้านอาหารปลอดภัย สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม (2) ส่วนประกอบข้างขวดและเครื่องวัดความหวาน Pen-Pro ของ ATAGo, Japan https://www.rophekathailand.com/post/l/hepheka/fatty-liver-disease
แค่ชาเขียวขวดเดียวก็เกินโควต้าที่สาธารณสุขแนะนำให้บริโภคต่อวันเสียแล้ว.. และต้องอย่าลืมว่าวัน ๆ นึงเราไม่ได้แค่ดื่มชาเขียวอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องทานอาหารอื่น ๆ เข้าไปซึ่งไม่พ้นต้องมีน้ำตาลเป็นส่วนผสมไม่มากก็น้อย เหล่าสาวกชาเขียวจะดื่มรสไหน..ถี่ขนาดไหน..ก็ต้องระวังกันให้ดี เป็นไปได้ลองเปลี่ยนมาดื่มสูตรไร้น้ำตาลก็จะดีต่อสุขภาพที่สุด หันมา “อ่อนหวาน” ตั้งแต่วันนี้.. ไขมันพอกตับ ก็ไม่มากวนใจ